วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

Moon

ดวงจันทร์


          ดวงจันทร์ (Moon) เป็นวัตถุท้องฟ้าที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง มีสถานะเป็นของแข็ง เป็นบริวารของโลก มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 1 ใน 4 ของโลก หรือประมาณ 3,476 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากโลกประมาณ 30 เท่า ของเส้นผ่านศูนย์กลางของโลก มีการโคจร 3 แบบพร้อมๆ กัน คือ หมุนรอบตัวเอง หมุนรอบโลก และหมุนรอบดวงอาทิตย์

ดวงจันทร์เป็นวัตถุท้องฟ้าที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด จึงมีอิทธิพลต่อโลกและสิ่งแวดล้อมบนโลกหลายประการ



          ปฏิทินจันทรคติ คือ ปฏิทินที่มีการนับวันและเดือนโดยถือเอาการเดินทางของดวงจันทร์เป็นหลัก ซึ่งสังเกตจากลักษณะและตำแหน่งของดวงจันทร์ที่เห็นปรากฏบนโลกเรียกว่า ข้างขึ้นข้างแรม
  • วันข้างขึ้น คือ วันที่เห็นดวงจันทร์มากขึ้นจนถึงวันที่เห็นดวงจันทร์เต็มดวง
  • วันข้างแรม คือ วันที่มองเห็นดวงจันทร์น้อยลงจนถึงวันที่มองไม่เห็นดวงจันทร์

          ปฏิทินจันทรคติเริ่มต้นเดือนด้วยขึ้น 1 ค่ำไปจนถึงขึ้น 15 ค่ำ และต่อไปเป็นแรม 1 ค่ำ ไปจนถึงแรม 14 ค่ำ เป็นวันสุดท้ายของเดือนขาด รวมเวลา 29 วัน หรือในบางเดือนจะนับวันไปจนถึง แรม 15 ค่ำ ถือว่าเป็นวันสิ้นสุดของเดือนเต็ม รวมเวลา 30 วัน โดยเฉลี่ยตลอดทั้งไป 1 เดือนจะมี 29 ½ วัน ซึ่งในแต่ละวันดวงจันทร์จะปรากฏให้เห็นมีขนาดต่างๆ กัน เพราะดวงจันทร์เคลื่อนที่รอบโลก โดยด้านที่หันมาทางโลกได้รับแสงมากขึ้นในวันข้างขึ้น และได้รับแสงลดลงในวันข้างแรม

ภาพ : แสดงการเกิดข้างขึ้นข้างแรม 

จากภาพ ตำแหน่งที่ 1 มองไม่เห็นดวงจันทร์ เพราะดวงจันทร์ด้านที่หันมาทางโลกไม่ได้รับแสงเลย ตำแหน่งนี้จะตรงกับแรม 15 ค่ำ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเดือนเต็ม หรือ ขึ้น 1 ค่ำ ของเดือนเต็มซึ่งนับต่อจากแรม 14 ค่ำ ของเดือนขาด

ตำแหน่งที่ 5 มองเห็นดวงจันทร์เต็มดวงเป็นรูปวงกลม เรียกว่า จันทร์เพ็ญ เพราะดวงจันทร์หันด้านสว่างทั้งหมดมาโลก ตรงกับขึ้น 15 ค่ำ ช่วงที่เกิดจันทร์เพ็ญ ดวงจันทร์จะขึ้นทางทิศตะวันออกในเวลาหัวค่ำ และจะตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกในเวลารุ่งเช้า

          เมื่อพิจารณาจากรูป พบว่า การเคลื่อนที่ของดวงจันทร์จะหันเข้าหาโลกด้านเดียวตลอดการเคลื่อนที่รอบโลก คือ เมื่อดวงจันทร์หมุนรอบตัวเองได้ 1 รอบ ขณะเดียวกันจะหมุนรอบโลกได้ 1 รอบ เช่นกัน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 เดือน

          น้ำขึ้นน้ำลง เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากอิทธิพลของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกมีแรงดึงดูดต่อกัน ทำให้ระดับน้ำทะเลบนโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นและลงวันละ 2 ครั้ง เนื่องจากดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมาก แรงดึงดูดของดวงจันทร์จึงมีอิทธิพลต่อสิ่งต่างๆ บนโลกมากกว่าดวงอาทิตย์ โดยพื้นผิวของโลกประกอบด้วยส่วนที่เป็นของแข็งและน้ำในที่ต่างๆ 

ภาพ : แสดงการเกิดน้ำขึ้นน้ำลงบนโลก 

          น้ำในมหาสมุทรขึ้นและลงครบ 1 รอบในครึ่งวัน หรือ ใน 1 วันน้ำจะขึ้นและลง 2 ครั้ง เพราะครั้งแรกน้ำขึ้นเมื่อดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกที่สุดหรือเมื่อมองเห็นดวงจันทร์อยู่สูงสุดบนท้องฟ้า และครั้งที่สองเมื่อโลกหมุนไปประมาณ 12 ชั่วโมง 25 นาที ไปอยู่ที่ตำแหน่งไกลจากดวงจันทร์มากที่สุด ในเวลาระหว่างกลางนั้นน้ำจะลง

          ในวันขึ้น 15 ค่ำ และแรม 15 ค่ำ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์จะอยู่ในแนวเดียวกันแล้วส่งแรงดึงดูดมายังโลกมากกว่าวันอื่น ทำให้เกิดน้ำขึ้นมากกว่าวันอื่นๆ เรียกว่า วันน้ำเกิด และวันนั้นเมื่อถึงเวลาน้ำลง น้ำจะลงมากด้วยเช่นกัน ส่วนวันข้างขึ้น 7-8 ค่ำหรือแรม 7-8 ค่ำ น้ำจะขึ้นและลงไม่มาก เรียกว่า วันน้ำตาย ดังรูป


         สุริยุปราคา และจันทรุปราคา เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากดวงจันทร์หรือโลกบังทางเดินของแสงจากดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดเงาปรากฏที่โลกหรือดวงจันทร์แล้วแต่กรณี ซึ่งทั้งโลกและดวงจันทร์เป็นวัตถุทึบ แสงที่มีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์มาก ดังนั้นเงาของโลกหรือดวงจันทร์ที่เกิดขึ้นจึงมีเงามืดลักษณะเป็นกรวยปลายแหลม และเงามืดมีลักษณะเป็นกรวยบานออกไปสู่อวกาศ
  1. การเกิดสุริยุปราคา เกิดในเวลากลางวัน ตรงกับแรม 15 ค่ำหรือ ขึ้น 1 ค่ำ เมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกเคลื่อนที่อยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน คนที่อยู่ใต้เงามืดของดวงจันทร์จะเห็นดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์จนมืดมิด เรียกว่า สุริยุปราคาเต็มดวง ขณะคนที่อยู่ภายใต้เงามัวจะเห็นดวงอาทิตย์ถูกบังไม่หมด เรียกว่า สุริยุปราคาบางส่วน (การเกิด สุริยุปราคา)
  2. การเกิดจันทรุปราคา เกิดในเวลากลางคืน ขณะที่เป็นจันทร์เพ็ญ เมื่อดวงอาทิตย์ โลกและดวงจันทร์เคลื่อนที่มาเรียงอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน โดยดวงจันทร์เคลื่อนที่อยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์พอดีแล้วมีโลกอยู่ตรงกลาง ถ้าดวงจันทร์อยู่ในเงามืดทั้งดวง ดวงจันทร์จะมืดสนิทเรียกว่า จันทรุปราคาเต็มดวง ถ้าดวงจันทร์เข้าไปอยู่ในเงามืดบางส่วน เรียกว่า จันทรุปราคาบางส่วน และถ้าเข้าไปอยู่ในเงามัว เรียกว่า จันทรุปราคาในเงามัว (การเกิด จันทรุปราคา)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น